หลักปัญญาที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา
หลักปัญญาที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา คือ อริยสัจ 4 ซึ่งได้แก่
(1) ทุกข์ ให้รู้ (ต้องทำให้รู้จริงๆ ... ซึ่งฝึกให้รู้ในขั้นต้นได้โดยการเจริญสติ และรู้ในขั้นรู้จริงด้วยการเจริญปัญญา)
(2) สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ ให้ละ (รู้เหตุ แล้วละที่เหตุ ละด้วยศีล ละด้วยสมาธิ และละให้ขาดด้วยปัญญา)
(3) นิโรธ คือ การพ้นทุกข์ ซึ่งต้องทำให้แจ้ง ทำให้เกิดขึ้นได้จริงๆ (ด้วยตัวของเราเอง)
(4) มรรค คือ วิธีการปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ซึ่งให้ปฏิบัติ (และต้องปฏิบัติ... ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร)
ความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับทุกข์ ที่เข้าใจว่าเราต้องละทุกข์ ต้องดับทุกข์ อันนี้ไม่ถูกต้อง ... เพราะหน้าที่ต่อทุกข์นั้น เราให้เพียงแค่รู้(จริง) ส่วนการละ หรือการดับนั้น ต้องไปทำที่ "เหตุ" ถ้าไม่ละเหตุ ไม่ดับที่เหตุ ทุกข์ก็ยังคงอยู่ ยังเกิดขึ้นเสมอ เมื่อยังมีเหตุแห่งทุกข์นั้นๆให้เกิดขึ้น
อย่างเช่น ในกรณีที่มีคนขับรถตัดหน้าเรา แล้วเราก็รู้สึกโกรธ แต่เราไม่รู้เท่าทันการเกิดขึ้นของสภาวะ "โกรธ" เมื่อโกรธก็หาทางระบายออกด้วยการพูดด่าด้วยคำที่รุนแรง ด้วยคำที่ไม่ดี ด่าให้คนที่ขับรถตัดหน้าเรา ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ยินคำด่าของเราเลย ... แต่ทุกครั้งที่เกิดขึ้น เราก็ทำเช่นนี้ แล้วสักพัก(ใหญ่ๆ)ความโกรธก็ค่อยๆเบาลงและหายไป .... แต่ถ้าถามว่า "ความโกรธ" ได้หายไปจริงๆหรือไม่ มันไม่ได้หายไปไหนเลย ยังคงฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของเราตลอดเวลา ยังคงเติบโตงอกงามและมีสุขภาพแข็งแรง พร้อมที่จะปรากฏออกมาทุกขณะ หากมีปัจจัยกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ... ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เราไม่เคยรู้เท่าทันความโกรธ เราไม่รู้ว่า "ความโกรธ" นั้นฝังอยู่ในใจของเรา และเหตุแห่งความโกรธที่แท้จริง ก็อยู่ที่ใจของเรา ที่ไม่รู้เท่าทัน ที่คอยโง่ คอยเป็นเหยื่อของเจ้าอารมณ์โกรธอยู่ร่ำไป ... ไปหลงเข้าใจผิดว่าเหตุนั้นอยู่ภายนอก อยู่ที่คนอื่น ... ทั้งๆที่คนที่โกรธ คนที่ด่าพูดจาไม่ดี ก็คือตัวเรานั่นเอง
แต่ถ้าหากว่าเรามีสติรู้ทันความโกรธ พร้อมทั้งมีปัญญากำกับรู้ว่า คนที่เขาขับรถตัดหน้าเรานั้น เป็นผู้สร้างอกุศลกรรมขึ้น (ซึ่งเขาต้องได้รับผลจากอกุศลกรรมนี้แน่นอน ไม่ช้าหรือเร็ว) ส่วนผลที่เกิดกับเรานั้นเป็นเพียง "วิบาก" ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะเป็นเพราะอกุศลกรรมเก่าๆ ที่เราได้เคยทำไว้แล้ว หรือเราได้มีส่วนในการเป็นเหตุปัจจัย ให้สภาวะการถูกคนอื่นขับรถตัดหน้าเรานี้เกิดขึ้น และบางทีก็อาจจะนึกหาสาเหตุไม่ได้ ... ที่สำคัญให้เรารู้ว่านี่เป็นเพียง "วิบาก" หรือผลกรรม... ถ้าสามารถกำหนดรู้เท่าทันเช่นนี้ เราก็จะได้สติ ได้ปัญญา (บางครั้งยังได้เมตตา คือคิดไม่ให้คนนั้นและคนอื่นๆได้รับอันตรายจากการขับรถที่ไม่ดีของเขา)
จะเห็นได้ว่าในเหตุการณ์เดียวกัน สามารถทำให้เกิดอกุศลกรรมคือความโกรธขึ้นก็ได้ หรือทำให้เกิดการรู้ทัน เกิดสติและปัญญาซึ่งเป็นกุศลขึ้นก็ได้ ... ความแตกต่างกันเช่นนี้ อยู่ที่ "คุณภาพของจิตใจ" ของเรา ซึ่งได้แก่ สติและปัญญานั่นเอง
ปัญญา 3 ระดับ
ปัญญา อาจจะจำแนกได้ 3 ระดับ ดังนี้
(1) สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการได้อ่าน ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้จดจำเล่าเรียนมา
(2) จินตามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดพิจารณาไตร่ตรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์ เชื่อมโยงความรู้ต่างๆ
(3) ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติ เกิดจากการภาวนา การปฏิบัติธรรม(ที่ถูกต้อง) เป็นปัญญาที่เกิดขึ้นกับ "จิต" เอง เราเป็นเพียงปัจจัย เป็นผู้ฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เกิดปัญญานี้ขึ้นกับจิต ซึ่งต้องเกิดขึ้นโดยจิตของเขาเอง (โดยมีเราเป็นผู้ฝึก) เป็นปัญญาที่บังคับเอาไม่ได้ คิดเอาเองไม่ได้ ... แต่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติฝึกอบรมจิตที่ถูกต้องและด้วยความเพียรเท่านั้น
สำหรับคนทั่วไปแล้ว คำว่า "ปัญญา" มักจะหมายถึง สุตมยปัญญา และ จินตามยปัญญา เท่านั้น และยิ่งสำหรับคนที่ไม่ชอบคิด ไม่ชอบใช้เหตุผล ไม่มีวิจารณญาณ ก็จะมีปัญญาเพียงแค่ระดับ สุตมยปัญญา จึงเป็นคนที่ถูกชักจูงให้เชื่ออะไร(ผิดๆ)ได้ง่าย อย่างไรก็ตาม คนที่มีการศึกษาสูง ก็ใช่จะเป็นเครื่องรับประกันว่ามี จินตามยปัญญา อย่างเพียงพอ เพราะการศึกษาในระดับสูงนั้น จะมุ่งเน้นจินตามยปัญญาเฉพาะด้าน เฉพาะสาขาวิชาเท่านั้น ส่วนจินตามยปัญญาในเรื่องชีวิตและสังคม(ธรรมะ) เป็นสิ่งที่ต้องมีฉันทะใส่ใจศึกษาเอง
ไม่ว่าเราจะฉลาด มี IQ สูง คิดเก่ง มีปัญญาระดับจินตามยปัญญา ลึกซึ้งเพียงใดก็ตาม ก็เป็นแค่เพียงระดับความคิดเท่านั้น (ซึ่งยังประกอบด้วยความคิดเห็นที่ผิด คลาดเคลื่อน ไม่รู้จริง อยู่มาก) นักคิด นักปรัชญาต่างๆ จึงยังไม่เข้าถึงปัญญาในระดับที่จะรู้ทุกข์และละเหตุแห่งทุกข์ได้ ซึ่งการจะพ้นทุกข์ได้จริงต้องใช้ปัญญาระดับ ภาวนามยปัญญา เท่านั้น (ที่สำคัญ เราคิดเอาเองไม่ได้ ... แต่ต้องฝึกให้จิตเขารู้เห็นของเขาเอง)
ที่มา: vcharkarn.com
หน้าที่เข้าชม | 611,572 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 269,903 ครั้ง |
ร้านค้าอัพเดท | 4 ก.ย. 2568 |